ได้อ่านเดลินิวส์มา จึงขอสรุปข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังนี้ จากการเปิดเผยของนพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ไฟเตต จะพบมากในพืชตระกูล ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรืองา ดังนั้นในถั่วงอกดิบจึงมีไฟเตตสูง แต่ถ้าปรุงให้สุกไฟเตตจะสลายไป หรือมีปริมาณน้อยลง โอกาสที่ไฟเตตจะไปดูดซับแร่ธาตุต่าง ๆ จึงน้อยกว่าการรับประทานดิบ ๆ
ไฟเตตจะมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ มัน จะไปจับ หรือดูดซับธาตุแคลเซียม เหล็ก สังกะสี และฟอสฟอรัส หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจะไม่ สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่า นี้ได้
ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุเหล่านี้เข้าไป พร้อมกับถั่วงอกดิบ ไฟเตต ก็จะดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ ตัว อย่างเช่น เรารับประทานปลาเล็กปลาน้อย เพื่อหวังจะได้รับแคลเซียม ขณะเดียวกันก็รับประทานถั่วงอกดิบเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายดูดซึม ธาตุแคลเซียมได้น้อย แต่จะถูกขับออกมาทาง อุจจาระหรือปัสสาวะมากกว่า
การรับประทานถั่วงอกดิบต่อมื้อหรือ ต่อวัน ในปริมาณมาก ๆ เป็นกิโลกรัม ถือว่าเป็นอันตราย แต่ในชีวิตประจำวันของคนเราไม่ได้รับประทานถั่วงอกมากมายขนาดนั้น จึงไม่ต้องกลัว ถ้ากลัว ก่อนที่จะรับประทานก็ควรปรุงให้สุกก่อน เพราะการปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ไฟเตตจะไม่สลายไปหมด ไฟเตตก็ยังคงมีอยู่
ประชาชนมักจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ และไม่รู้ว่าอาหารชนิดใดมีไฟเตตอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การรับประทานอาหารทุกอย่างสด ๆ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป
นอกจากถั่วงอกและพืชตระกูลถั่วที่มีไฟเตตแล้ว นพ.กฤษดา บอกว่า ยังพบไฟเตตในผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ขี้เหล็ก ผักโขม กลิ่นเหม็นเขียวที่เราพบในผักนั่นแหละ คือ กลิ่นของไฟเตต นอกจากนี้ยังพบในผลไม้ เช่น สับปะรด ลำไย มะม่วง ทุเรียน แก้วมังกร รวมไปถึงเต้าหู้ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต แต่ปริมาณ ที่พบน้อยกว่าพืชตระกูลถั่วมาก อย่างสับปะรดเป็นผลไม้ที่มีไฟเตตมากที่สุดก็มีเพียง 0.09% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คุณหมอได้ทิ้งท้ายว่าไม่ได้ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก แต่อยากให้เดินทางสายกลาง คือ จะรับประทาน อะไร ไม่ซ้ำซากหรือมากจนเกินไป หากท่านไม่รับประทานพืช ผัก ทีเป็นกิโล ๆ การรับประทาน ดิบ ๆ ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนผลไม้ก็ไม่น่ากลัวเพราะมีปริมาณไฟเตตน้อยมาก ๆ.
รับประทานอะไรก็ขอให้มี "สติทุกครั้งที่ทานนะคะ"
ขอให้รับประทานอย่างมีความสุขค่ะ